การปรับสภาพ ฟื้นฟู แบตเตอรี่ Recondition Battery

สามารถแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ
1. การปรับสภาพแบตเตอรี่
2. การฟื้นฟูแบตเตอรี่

  • การปรับสภาพแบตเตอรี่ คือ การปรับสภาพของน้ำกรดในแบตเตอรี่ให้ค่าความถ่วงจำเพาะ เป็นไปตามมาตราฐานของแบตเตอรี่ใหม่ หรือ ให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อให้แบตเตอรี่สามารถเก็บประจุและคายประจุได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อใดที่่ควรทำการปรับสภาพ โดยปกติ เมื่อได้ใช้งานแบตเตอรี่นับตั้งแต่เริ่มต้นการใช้งาน เป็นระยะเวลาโดยประมาณ 1.5-2 ปีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับชนิดของแบตเตอรี่และการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ขณะใช้งานปกติ
ผลที่ได้เมื่อทำการปรับสภาพแบตเตอรี่ เมื่อทำการปรับสภาพแล้ว การเก็บประจุและการคายประจุของแบตเตอรี่จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงแบตเตอรี่ใหม่ อีกทั้งเป็นการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น

  • การฟื้นฟูแบตเตอรี่ คือ การนำแบตเตอรี่ที่ไม่สามารถเก็บกระแสไฟได้ มาเข้ากระบวนการ ฟื้นฟูแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้อีกครั้ง (แบตเตอรี่ที่ผ่านกระบวนการ ฟื้นฟูแบตเตอรี่ ประสิทธิภาพที่ได้มา ควรได้ประมาณ 65%-80% เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ใหม่)
จุดสังเกตุคือ เมื่อทำการชาร์จแบตเตอรี่ ระยะเวลาการชาร์จจะสั้นกว่าปกติ เมื่อเครื่องชาร์จแจ้งว่าเต็มแล้ว และนำมาใช้้งาน ก็ใช้ได้ซักพักแบตเตอรี่ก็ไม่มีกระแสไฟให้ใช้งาน นั่นหมายถึง ประสิทธิภาพในการเก็บกระแสไฟของแบตเตอรี่น้อยลง
สาเหตุมาจาก ไม่มีการปรับสภาพแบตเตอรี่เมื่อถึงระยะเวลาที่ควรปรับสภาพแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้มีดังนี้
  1. เกิดการช็อตภาพในของเซลแบตเตอรี่ (การหลุดล่วงของตะกั่วลงไปกองที่พื้นของเซลแบตเตอรี่)
  2. เกิดการขาดของสพานเซลระหว่างเซลของแบตเตอรี่
  3. การหมดสภาพของตะกั่วในแบตเตอรี่
  • ระยะเวลาดำเนินการ
  1. การปรับสภาพแบตเตอรี่ ใช้เวลาโดยประมาณ 1-10 ชั่วโมง อยู่ที่สภาพของแบตเตอรี่ก่อนทำ
  2. การฟื้นฟูแบตเตอรี่ ใช้เวลาโดยประมาณ 24-120 ชั่วโมง อยู่ที่สภาพของแบตเตอรี่ก่อนทำ
  • แบตเตอรี่ที่สามารถปรับสภาพแบตเตอรี่ และ ฟื้นฟูแบตเตอรี่ได้มีดังนี้
  1. แบตเตอรี่รถยนต์ (ชนิดที่ใช้น้ำกรดทุกชนิด)
  2. แบตเตอรี่รถกอล์ฟ (ชนิดที่ใช้น้ำกรดทุกชนิด)
  3. แบตเตอรี่โซล่าเซล (ชนิดที่ใช้น้ำกรดทุกชนิด)
  4. แบตเตอรี่รถโฟล์คลิฟท์ (ชนิดที่ใช้น้ำกรดทุกชนิด)
  5. แบตเตอรี่รถลากทุกชนิด (ชนิดที่ใช้น้ำกรดทุกชนิด)